ภูมิแพ้ : เหตุใดคนเกือบครึ่งโลกจึงเป็นโรคนี้

วันที่เผยแพร่: 
Mon 25 February 2019

ข้อมูลจากทีมนักวิจัยจากสถาบันคิงส์ คอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอนในอังกฤษ ระบุว่า แนวโน้มของผู้เป็นโรคภูมิแพ้ (Allergies) ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาพบเห็นได้ชัดเจนในประเทศแถบตะวันตก และคาดว่าราว 40% ของประชากรโลกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้

ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าเหตุใดอัตราการเป็นโรคภูมิแพ้จึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับในไทยนั้น ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่า โรคภูมิแพ้ เป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทย จากการสำรวจพบว่าอุบัติการณ์ของโรคนี้ได้เพิ่มขึ้นสูงกว่าแต่ก่อนมาก และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

เหตุใดคนสมัยนี้เป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น
กินปลา-สัมผัสปศุสัตว์แต่เด็ก ช่วยให้ไม่เป็นภูมิแพ้เมื่อโตขึ้น
หนามบนลิ้นแมวมีโครงสร้างพิเศษ เล็งใช้เป็นต้นแบบแปรงทำความสะอาด
ข้อมูลจากเว็บไซต์พบแพทย์ ระบุว่า ภูมิแพ้ เกิดจากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมที่ได้รับเข้ามา โดยการขับสารตัวกลางออกมาต้านสิ่งแปลกปลอม แต่สารตัวกลางจะก่อให้เกิดการอักเสบและอาการแพ้แก่ร่างกาย การเกิดโรคภูมิแพ้มีสาเหตุมาจากภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำงานมากเกินไป ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ต่อสารบางอย่างที่อาจไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป แต่เป็นอันตรายต่อตัวบุคคลที่แพ้

สารที่ร่างกายรับเข้ามาและกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ในลักษณะต่าง ๆ เรียกว่า "สารก่อภูมิแพ้" โดยร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้โดยการแสดงอาการแพ้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกและน้ำตาไหล คันรอบดวงตา ระคายเคืองที่ใบหน้า มีผดผื่นคันและแดงตามผิวหนัง ผิวหนังลอกอักเสบ หรืออาจแพ้รุนแรงถึงขั้นท้องร่วง แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออก หลังจากที่ได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย

เชื่อว่าโรคภูมิแพ้มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งวิถีการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษในปัจจุบันก็เป็นปัจจัยเสริมทำให้อาการของโรคภูมิแพ้รุนแรงขึ้น

โรคภูมิแพ้รักษาไม่หายขาด แต่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุว่า โรคภูมิแพ้เป็นได้เกือบทุกวัย เมื่อสงสัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจว่าเป็นภูมิแพ้จริงหรือไม่

การรักษาโรคภูมิแพ้ปัจจุบันมี 3 วิธีคือ

1. หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หากผู้ป่วยได้รับการทดสอบภูมิแพ้ และทราบว่าตัวเองแพ้อะไร การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้อย่างถูกวิธี ก็จะทำให้อาการดีขึ้น

แต่หากไม่ได้ทดสอบภูมิแพ้ อาจใช้วิธีสังเกตว่า ได้รับสารอะไรแล้วมีอาการ ก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น

นอกจากนี้ควรกำจัดหรือลดปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวให้เหลือน้อยที่สุด เช่น การทำความสะอาดบ้านเพื่อขจัดฝุ่นละออง การงดเลี้ยงสัตว์ที่ขนอาจกระตุ้นอาการแพ้ เช่น สุนัข แมว กระต่าย ฯลฯ รวมทั้งการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ เช่น ละอองเกสรดอกไม้ อาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ หรือแม้แต่ควันบุหรี่

2. การใช้ยา เช่น ยารับประทาน ยาพ่นเข้าจมูก หรือยาสูดเข้าหลอดลม ซึ่งผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

3. การฉีดวัคซีน เป็นการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยแพทย์จะทดสอบภูมิแพ้ก่อนว่าแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใด แล้วฉีดสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้น ๆ เพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยค่อย ๆ ปรับภูมิต้านทานขึ้นทีละน้อย จนในที่สุดร่างกายมีภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้ได้ การรักษาด้วยวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 3 - 5 ปี

สำหรับผู้ป่วยแพ้อาหารที่มีอาการรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้อย่างเคร่งครัด ในกรณีที่พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้แล้ว แต่ยังมีอาการแพ้เนื่องจากได้รับอาหารที่แพ้เจือปนเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจบ่อย ๆ เช่น การแพ้แป้งสาลี ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารหลายชนิด ได้แก่ ขนมปัง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารชุบแป้งทอด เป็นต้น ทำให้การหลีกเลี่ยงเป็นไปได้ยาก และมีความลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งบางครั้งต้องรับประทานอาหารนอกบ้าน ในกรณีนี้ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้โดยตรง

QR Code for https://www.stkc.go.th/stiarticle/%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%89-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%83%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89
Hits 329 ครั้ง