6 ประโยชน์ของแตงโม กับสุขภาพ ที่ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย

1. ป้องกันโรคหอบหืด
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า อนุมูลอิสระมีส่วนที่ทำให้คุณสามารถป่วยเป็นโรคหอบหืดได้ การที่ทานแตงโมเข้าไปจะทำให้สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซี เข้าไปช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดการกระตุ้นอาการใดๆ แทรกซ้อนได้เพิ่มเติม และลดโอกาสที่ทำให้คุณป่วยอยู่ในภาวะหอบหืดได้
2. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (The National Cancer Institute (NCI) พบว่าสารต้านอนุมูลอิสระในแตงโมช่วยลดความเสียหายของเซลล์ที่อาจก่อให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้ พร้อมทั้งมีไลโคปีนที่ยับยั้งความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกเช่นกัน
3. บำรุงสมอง และระบบประสาท
การรับประทานแตงโมที่เพียงพอต่อวันเป็นประจำ อาจช่วยให้คุณมีความจำที่ดีขึ้น มีการพัฒนาของสมองด้านการเรียนรู้ และยังรักษาโครงสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ จากโคลีนที่เป็นสารชนิดหนึ่งที่อยู่ในแตงโม แต่ถึงอย่างไรยังไม่มีหลักฐานเพียงพอถึงการรับประทานแตงโมเพื่อชะลอการลุกลามของโรคสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ได้
4. บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ
ด้วยแตงโมเป็นผลไม่ที่มีน้ำเยอะถึง 90% จึงทำให้ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ และช่วยฟื้นฟูการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา หรือผู้ที่ออกกำลังกายมาหนักๆ ได้ ในการศึกษาปี 2017 ได้ทดสอบให้นักกีฬาดื่มน้ำผลไม้ก่อนการแข่งขัน 2 ชั่วโมง โดยผู้ดื่มรายงานว่า อาการปวดกล้ามเนื้อนั้นบรรเทาลง และดีขึ้นกว่าเดิม
5. เพิ่มประสิทธิภาพด้านการมองเห็น
ไลโคปีนที่ถูกค้นพบอยู่ในผลแตงโม มีส่วนช่วยให้ดวงตาของเรามีการทำงานที่ดี ลดการอักเสบ และป้องกันการเสื่อมสภาพของจอประสาทตาตามการใช้งาน หรือช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ตาของคุณบอดได้
6. บำรุงผิว และเส้นผม
วิตามินเอ วิตามินซี ที่อยู่ในแตงโม มีความสามารถในการสร้างคอลลาเจน ที่เป็นโปรตีนส่งเสริมให้เส้นผมของคุณดูสุขภาพดีแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย และเพิ่มความอ่อนนุ่มให้แก่ผิวของคุณดูชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ไม่แห้งกร้าน หรือแตกเป็นขุย จนทำให้คุณรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ

ความเสี่ยงของการรับประทานแตงโมมากเกินควร
การรับประทานแตงโมที่พอดีควรทานอยู่ในปริมาณ 1 ถ้วยต่อวัน หรือในปริมาณ 154 กรัม จึงจะพ้นจากความเสี่ยง และไม่มีอันตรายใดๆ ต่อสุขภาพร่างกายของคุณ แต่หากรับประทานมากเกินไป อาจมีผลกระทบต่อผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน และโรคภูมิแพ้ ที่ส่งผลให้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เป็นโรคลมพิษ และระบบทางเดินหายใจมีปัญหา หรือหายใจลำบาก
ดังนั้นคุณจึงควรรับประทานแต่พอเหมาะ และถ้าหากมีอาการแพ้ หรือสัญญาณอาการแทรกซ้อนรุนแรงผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ ลิ้น และลำคอบวม ควรเข้ารับการปรึกษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญใกล้บ้านคุณทันที

วันที่: 
Tue 11 May 2021
แหล่งที่มา: 
https://www.sanook.com/health/27461/
Hits 3,689 ครั้ง