เป่าแก้ว ความสวยงามจากวิทยาศาสตร์

ศิลปะแห่งการเป่าแก้ว คือการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และหลักวิทยาศาสตร์อย่างลงตัว แก้วซึ่งดูเปราะบางและแข็งทื่อในสภาพปกติ กลับสามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างอ่อนช้อยเมื่ออยู่ใต้เปลวไฟร้อนจัด จากทรงกลมใสธรรมดา กลายเป็นงานศิลป์ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดอันประณีต “เป่าแก้ว” จึงไม่ใช่เพียงงานหัตถกรรม แต่คือบทพิสูจน์ของมนุษย์ในการควบคุมธรรมชาติผ่านความรู้และทักษะ ด้วยความงามที่ถือกำเนิดจากความร้อนและแรงลม ศิลปะแขนงนี้จึงเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ “ความงามจากวิทยาศาสตร์” อย่างแท้จริง

7815 1

การเป่าแก้วในช่วงแรก ถูกค้นพบตามบันทึกการให้ข้อมูลของพ่อค้าชาวซีเรียที่เขาตั้งแคมป์บริเวณชายหาดซึ่งใช้หินโทรนา(Trona) ในการก่อเตา แต่ด้วยความร้อนของไฟ ทำให้พบว่าโทนาและทรายหลอมรวมกัน และเมื่อไฟดับลงจนเย็นตัวลงทำให้มีลักษณะเป็นแก้วใส  

           การเป่าแก้ว ในปัจจุบัน มีอยู่ 2 รูปแบบคือ การเป่าเพื่อใช้ในทางวิทยาศาสตร์ กับการเป่าเพื่อความสวยงามหรือศิลปะ  โดยในทางวิทยาศาสตร์ก็เพื่อการสร้างวัสดุอุปกรณ์เครื่องแก้วต่าง ๆ ที่ใช้ในงานทดลองและวิจัย ในด้านศิลปะก็ทำเพื่อความสวยงาม เป็นของประดับตกแต่งซึ่งทำเป็นรูปทรงต่าง ๆ เช่น ดอกไม้ เครื่องประดับ สัตว์ต่าง ๆ

           แต่เดิมการเป่าแก้วจะไม่ใช้ตะเกียงเหมือนปัจจุบัน โดยใช้วิธีการเป่าลมผ่านเข้าไปในด้านหนึ่งของท่อโลหะกลวง (Blowing pipe) โดยที่ปลายด้านหนึ่งคือหลอดแก้วที่หลอมเหลวรวมกันเป็นก้อน การเป่าแก้วสามารถที่จะควบคุมรูปร่างขนาดได้ตามความต้องการในขณะที่แก้วนั้นกำลังร้อนอยู่  การเป่าแบบนี้จะใช้เวลานาน  ต้องมีเตาหลอมแก้ว อาจใช้คนจำนวนมากในการทำ

           ต่อมา เริ่มมีการเป่าแก้วโดยนิยมใช้ตะเกียงเป่าแก้ว ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ตะเกียงเป่าแก้วมาช่วยหลอมแก้ว ซึ่งมีความเร็วและง่ายกว่ามาก  สามารถทำได้ด้วยผู้ทำเพียงคนเดียว วิธีนี้มีลักษณะคือ ใช้ตะเกียงเป่าแก้วเผาแท่งแก้วโดยหลอมให้เกิดรูปร่างตามจินนาการและความสามารถทางศิลปะของผู้ทำ

           ทั้งนี้การหลอมแก้วและเป่าแก้วให้มีรูปร่างต่าง ๆ ยังมีองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ผลงานออกมาได้สวยงามและมีคุณภาพก็คือ ตะเกียงเป่าแก้วและก๊าซเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับเป่าแก้ว

7815 3

ตะเกียงเป่าแก้ว (glassblowers burner) มี 2 ประเภทคือ แบบตั้งโต๊ะ และแบบมือถือ โดยมีท่อส่งไฟเชื้อเพลิงผ่านพลังงานจากก๊าซเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ เช่น ก๊าซบิวเทน ก๊าซหุงต้ม หรือ ก๊าซไฮโดรเจน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีท่อก๊าซออกซิเจน (o2) ซึ่งแยกกันคนละท่อ เข้าไปผสมกันที่หัวเตา (burner) เมื่อจุดไฟจะได้เปลวไฟที่มีความร้อนมากกว่า 1,000 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดก๊าซเชื้อเพลิงชนิดที่ผสมกับก๊าซออกซิเจน  โดยปกติหากใช้ก๊าซบิวเทนผสมกับอากาศปกติจะใช้เป่าแก้วบอโรซิลิเกต (borosilicate glass)  หากใช้อากาศจากลมทั่วไปผสมกัน จะให้ความร้อนประมาณ 800 องศาเซลเซียส จะใช้สำหรับการเป่าแก้วอ่อน (soft glass)

            การเป่าแก้วยังต้องอาศัยการฝึกฝนฝึกปฏิบัติให้มีความชำนาญ เพราะการเป่าแก้วนั้นก็มีความอันตรายอยู่พอสมควรเหมือนกัน

            ทั้งนี้หากใครสนใจสามารถคลิกเพื่อเข้าไปอ่านรายละเอียดและขั้นตอนการทำในหนังสือ การเป่าแก้วเบื้องต้น โดยผศ.ดร.ประสิทธิ์ ปุระชาติ

แหล่งที่มา

ประสิทธิ์ ปุระชาติ.  ประวัติความเป็นมาของแก้ว. สืบค้นเมื่อ 2 มกราคม 2561, จาก
            http://library.tru.ac.th/images/academic/book/b45252/04g1-p.pdf

ศาสตร์แห่งแก้ว. สืบค้นเมื่อ 2 มกราคม 2561, จาก
            http://www.angelfire.com/sc3/glassblow/glass2.htm

การเป่าแก้ว. สืบค้นเมื่อ 2 มกราคม 2561, จาก
            http://glasswarechemical.com/category/glassblowing/

วันที่: 
Thu 28 August 2025
แหล่งที่มา: 
https://www.scimath.org/article-chemistry/item/7815-2017-12-19-02-24-59
Hits 100 ครั้ง