แปรรูปเพิ่มมูลค่า ‘เปลือกจักจั่นทะเล’ สู่อาหารเลี้ยงปลาช่อนทะเล

ข่าวประจำวันที่: 
Mon 9 August 2021

ชุมชนบ้านไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต นับเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ “จักจั่นทะเล” สัตว์ทะเลเฉพาะถิ่นที่อยู่คู่กับหาดไม้ขาวมายาวนาน มีลักษณะคล้ายแมลงจักจั่นแต่อาศัยอยู่ในทะเล เป็นสัตว์ที่อยู่กลุ่มเดียวกับกุ้ง ปู ซึ่งชาวบ้านนิยมจับนำไปประกอบอาหาร โดยขายสดหรือนำไปนึ่งสุกและจะแกะส่วนของกระดองหรือเปลือกทิ้ง เนื่องจากเป็นส่วนที่ค่อนข้างแข็งและมีทรายปน ทำให้มีเปลือกจักจั่นเหลือทิ้งจำนวนมาก ขณะเดียวกันในพื้นที่ยังมี “ผักลิ้นห่าน” ผักพื้นเมืองหายาก พบตามชายฝั่ง เป็นพืชอัตลักษณ์ของท้องถิ่นที่มีรสชาติอร่อย โดยมีจุดเด่นที่ความกรอบและรสชาติขม ทั้งนี้เวลาที่ชาวบ้านเก็บขายจะเหลือเศษผักจากการตัดแต่งเกือบครึ่งเช่นเดียวกัน

เพื่อนำทรัพยากรเหลือทิ้งในท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่า ผศ.กรรนิการ์ กาญจนชาตรี คณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต ได้จัดทำโครงการนำวัสดุเหลือใช้จากเมนูอาหารยอดฮิตจักจั่นทะเลสู่การแปรรูปเป็นอาหารเลี้ยงปลาช่อนทะเล ภายใต้การสนับสนุนโปรแกรมการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพและการใช้ประโยชน์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ผศ.กรรนิการ์ กล่าวว่า เดิมทีคณะเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีการทำงานเป็นเครือข่ายระหว่างวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงปลาช่อนทะเลและประมงพื้นบ้านแหลมทราย วิสาหกิจชุมชนจักจั่นทะเล และวิสาหกิจชุมชนผักลิ้นห่านในพื้นที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเห็นถึงปัญหาการพัฒนาผลิตภัณฑ์และพยายามเชื่อมโยงทรัพยากรที่มีในชุมชนมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทั้งนี้จุดเริ่มต้นการทำโครงการฯ มาจากทางกลุ่มผู้เลี้ยงปลาช่อนทะเลพบอุปสรรคในเรื่องของต้นทุนอาหารปลาที่มีราคาแพงมาก จึงพยายามหาวิธีช่วยลดค่าอาหารปลาช่อนทะเล และพบว่าบ้านไม้ขาวชุมชนส่-วนหนึ่งประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรรม ในขณะที่ชุมชนบ้านแหลมทรายประกอบอาชีพประมง

“ปลาช่อนทะเลกินอาหารเม็ดลอยน้ำได้ โดยสูตรอาหารเดิมจะมีส่วนผสมของปลาป่นกับหญ้าเนเปียซึ่งปลาป่นต้นทุนค่อนข้างสูง ส่วนหญ้าเนเปียหายากในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เราเห็นว่าบ้านไม้ขาวมีหยวกกล้วยและแกลบที่ชาวบ้านทิ้ง รวมทั้งยังมีเศษผักลิ้นห่านเหลือจำนวนมาก เพราะปกติเวลาชาวบ้านเก็บผักลิ้นห่านจะตัดส่วนที่ไม่ได้ใช้ทิ้ง คือถ้าเก็บผัก 5 กิโลกรัม จะมีการตัดแต่งผักส่งขายได้เพียง 3 กิโลกรัม และจะเหลือเศษผักมากถึง 2 กิโลกรัม ขณะเดียวกันก็ยังมีเปลือกจักจั่นทะเลที่ถูกทิ้งอย่างสูญเปล่าจำนวนมาก เราจึงมีแนวคิดนำมาทดลองพัฒนาสูตรอาหารปลาช่อนทะเลด้วยการใช้ผักลิ้นห่านบดแทนหญ้าเนเปีย และนำเครื่องในปลามาผสมกับรำที่สีจากแกลบหมักทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ เพื่อให้เกิดกลิ่นดึงดูดปลาแทนปลาป่น จากนั้นนำมาผสมกับเปลือกจักจั่นทะเลบดแห้ง และส่วนผสมอื่นๆ”

วัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นส่วนผสมในสูตรอาหารไม่ได้เพียงมีคุณสมบัติที่ช่วยสร้างอาหารเม็ดลอยน้ำที่ลดต้นทุนได้เท่านั้น แต่ทั้งผักลิ้นห่านและเปลือกจักจั่นทะเลล้วนมีคุณค่าทางสารอาหารสูง
“เศษผักลิ้นห่านพบคุณประโยชน์ทั้ง วิตามินเอ โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 วิตามินบี 3 และวิตามินบี 9 ส่วนเปลือกของจักจั่นทะเลเมื่อส่งไปวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ พบว่าเปลือกจักจั่นทะเลมีคุณค่าทางสารอาหารมากกว่าส่วนที่เป็นตัวของจักจั่นที่ใช้รับประทานเสียอีก โดยเฉพาะมีไขมันสูงมาก อีกทั้งยังมีแคลเซียม แมกนีเซียม แมงกานีส เหล็ก และสารอาหารอื่นๆ การนำของเหลือใช้ในชุมชนมาบดผสมเป็นอาหารเม็ด ทำให้มีต้นทุนของอาหารปลาเพียง 7 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่สูตรทั่วไปต้นทุน 12 บาทต่อกิโลกรัม ปัจจุบันมีการนำอาหารเม็ดจากเปลือกจักจั่นทะเลและผักลิ้นห่านไปใช้เลี้ยงปลาช่อนทะเลที่ชุมชนบ้านแหลมทราย จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งยังใช้เลี้ยงปลาดุกที่ชุมชนไม้ขาวด้วย หากแต่ว่าแม้ปลาช่อนทะเลจะสามารถกินอาหารเม็ดได้ปกติ แต่ก็ยังต้องมีการปรับปรุงพัฒนาสูตรอาหารเพิ่มเติม เพื่อให้ได้อัตราแลกเนื้อของปลาที่เหมาะสมมากขึ้น”

ความพยายามของ ผศ.กรรนิการ์ กาญจนชาตรี ในการนำทรัพยากรเหลือทิ้งมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาลดต้นทุนการเพาะเลี้ยงปลาให้แก่เกษตรกร แต่ยังช่วยลดปริมาณขยะ และที่สำคัญคือการสร้างโอกาสในการสร้างอาชีพและรายได้เพิ่มให้แก่ชุมชน ยิ่งเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19

ผศ.กรรนิการ์ กล่าวว่า ตอนนี้เปลือกจักจั่นทะเลที่ถูกทิ้งอยู่ตามต้นไม้เพื่อรอการย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ย ชาวบ้านก็สามารถนำมาขายได้ โดยเรารับซื้อเปลือกจักจั่นทะเลตากแห้งกิโลกรัมละ 30 บาท ขณะที่หยวกกล้วย แกลบ รวมถึงเศษผักลิ้นห่านที่ถูกทิ้งอย่างไร้ค่าก็นำมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการพัฒนาอาหารปลาได้

ด้าน นายวิโรจน์ ประเสริฐ ตัวแทนจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจักจั่นทะเล เล่าว่า รู้สึกดีใจที่มีโครงการฯ นี้เพราะทำให้ชาวบ้านมีความรู้ในการนำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ ช่วยให้เกิดการพัฒนาหมู่บ้าน และนายสุพรรณ แพทย์ปฐม ตัวแทนจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจหมุนเวียน กล่าวว่า โครงการฯ ช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชน ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เสริมที่นอกเหนือจากการทำเกษตรตามวิถีชีวิตเดิม

ขณะที่ นางสาวชุติมา เพ็ชรรณรงค์ ตัวแทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผักลิ้นห่าน เล่าว่า การระบาดของโรคโควิด-19 สร้างผลกระทบกับคนในพื้นที่อย่างมาก แต่เดิมตนทำงานในโรงแรม พอมีการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยว โรงแรมถูกปิด ขาดรายได้ เมื่อมีโครงการฯ นี้เข้ามา ทำให้เราสนใจเข้าร่วมวิสาหกิจชุมชนเพื่อปลูกผักลิ้นห่าน ซึ่งทำให้มีอาชีพและรายได้สำหรับนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตอนนี้มีรายได้ 3,000-5,000 บาท อีกทั้งยังช่วยเปลี่ยนวิถีชุมชนจากเดิมที่เคยต่างคนต่างอยู่ก็เกิดเป็นเครือข่าย มีความสามัคคีกันภายในชุมชนมากขึ้น

อย่างไรก็ดี การนำองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเพิ่มมูลค่าทรัพยากรเหลือทิ้งให้นำกลับมาใช้ใหม่ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นับเป็นหนทางที่ช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า อีกทั้งยังนำมาสู่การสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชน สอดคล้องกับแผนพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี (Bio-Circular-Green Economy: BCG Economy Model) ที่มุ่งเพิ่มคุณภาพชีวิตคนไทยให้ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง และสามารถใช้ทรัพยากรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

ข้อมูลข่าวโดย : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
เผยแพร่ข่าว : นางสาวพรนภา สวัสดี
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313

URL: 
https://www.mhesi.go.th/index.php/news/4175-2021-08-06-05-40-06.html