จาก “Music Sampling” สู่ยุค “Generative AI”
จาก “Music Sampling” สู่ยุค “Generative AI”
เพลงที่มีการนำส่วนหนึ่งส่วนใดของเพลงที่มีมาก่อน มาประพันธ์เป็นเพลงอีกบทเพลงหนึ่ง โดยเฉพาะในแนวดนตรีฮิปฮอป และป๊อปสมัยใหม่ ซึ่งมักมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ฟังสามารถจดจำทำนองเพลงใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เช่น “Music Sampling” ซึ่งอาจเป็นการนำท่อนเบสไลน์และจังหวะกลองจากเพลงในแผ่นเสียงเก่า
มาบรรเลงต่อเนื่องเพื่อสร้างเป็นจังหวะสนุกสนานในงานเลี้ยง หรือนำแรงบันดาลใจจากเพลงฮิตติดตรึงใจในอดีตมาเชื่อมโยงกับผลงานดนตรีในปัจจุบันมาสร้างสรรค์เพลงใหม่ แม้ “Music Sampling” อาจเป็นเพียงเทคนิคที่ช่วยให้เกิดความนิยมในเพลงต้นฉบับเดิมมากยิ่งขึ้น โดยไม่กระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของผลงานต้นฉบับเดิม แต่ก็กล่าวได้ว่า “Music Sampling” เป็นรากฐานของวัฒนธรรมดนตรีร่วมสมัยจากอดีตสู่อนาคต
สำหรับงานเพลงหรืองานดนตรีโดยทั่วไปจะมีลิขสิทธิ์เกิดขึ้นได้จาก 2 ประเภท ประเภทแรกเป็นลิขสิทธิ์ในองค์ประกอบเพลง (Composition) หมายรวมถึงทั้งส่วนเนื้อร้องและทำนอง และอีกประเภทเป็นลิขสิทธิ์ในสิ่งบันทึกเสียง (Sound Recording) ซึ่งหมายรวมถึงการแสดงและการบันทึกเสียงจริง ดังนั้น “Music Sampling” ที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายลิขสิทธิ์ก็ควรต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงเดิมทั้งในส่วน Composition และ Sound Recording อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค่าลิขสิทธิ์สำหรับ Master Recording ที่ต้องจ่ายให้เจ้าของเพลงหรือค่ายเพลงมักมีราคาสูง บางคนจึงเลือกขออนุญาตเฉพาะในส่วนองค์ประกอบเพลง เพื่อนำองค์ประกอบของบทเพลงนั้น ๆ เช่น ท่อนฮุก ท่อนแร็ป หรือทำนองที่จดจำได้ มาบันทึกเสียงขึ้นใหม่ด้วยนักร้องหรือเครื่องดนตรีอื่น โดยไม่ได้ใช้ไฟล์เสียงต้นฉบับ เพื่อไม่ให้ละเมิดลิขสิทธิ์บันทึกเสียง และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ Master Recording วิธีการนี้ไม่เรียกว่า “Music Sampling” แต่เรียกว่า “interpolation”
บทเพลงที่เกิดขึ้นจากเทคนิค “Music Sampling” เคยมีกรณีตัวอย่างการละเมิดลิขสิทธิ์เพลง เช่น เพลง “Please, do not stop the music” ของ Rihanna ซึ่งมีการใช้ทำนองบางส่วนจากเพลง “Wanna Be Startin' Somethin” ของ Michael Jackson ที่เผยแพร่ในปี 1983 มาดัดแปลง โดย Rihanna อ้างว่าได้ขออนุญาตแล้วเจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว แต่ปรากฏว่า Jackson เองก็นำท่อนนี้มาจากเพลง “Soul Makossa” ของ Manu Dibango นักดนตรีจากแคเมอรูนที่บันทึกเสียงไว้ตั้งแต่ปี 1972 ซึ่งได้มีการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์เพลงดังกล่าวขึ้นในศาล ณ ประเทศฝรั่งเศส จากการใช้เทคนิค “Music Sampling” โดยไม่ได้รับอนุญาตทำให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์นี้ ย่อมเป็นความท้าทายของนักแต่งเพลงที่จะหาเทคนิควิธีการใหม่ ๆ
ในการสร้างสรรค์ผลงาน
โดยในยุคปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการสร้างสรรค์และเผยแพร่ผลงานเพลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการแต่งเพลงอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น มีการใช้งาน Generative AI ในการสร้างเสียงดนตรีขึ้นใหม่ ปรับจังหวะ หรือการนำบางส่วนของเพลงต่าง ๆ มาจากฐานข้อมูลเพลง ซึ่งมีความหลากหลายของวัฒนธรรม และรูปแบบโครงสร้างการแต่งเพลงในแต่ละยุคจำนวนมหาศาล มาให้ Generative AI ช่วยผสมผสานสังเคราะห์ออกมาเป็นเพลงใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบเพลง ทั้งยังสามารถเลือกป้อนคำสั่งบรรยายบรรยากาศเพื่อให้โปรแกรมดำเนินการสังเคราะห์ให้ได้อารมณ์เพลงตามที่ผู้ใช้งานต้องการได้อีกด้วย
การสังเคราะห์โดย Generative AI นี้อาจทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินได้ฟังบทเพลงที่รังสรรค์ขึ้นมาใหม่นี้มาก่อน เพราะ AI ได้เรียนรู้รูปแบบ โครงสร้าง และลายเซ็นเสียง (Sound Signature)
ที่ผู้ฟังคุ้นเคยจากเพลงในอดีต ทำให้ได้ผลงานตอบโจทย์ตรงใจผู้บริโภคยุคใหม่หลายคนที่ยังคิดถึงบทเพลงจากศิลปินที่ล่วงลับไปแล้ว หรือชื่นชอบศิลปินสมมติจาก AI และนอกจากความนิยมที่คุ้นหูแล้วยังมีเหตุผลเพิ่มเติมที่หลายคนเริ่มเปิดใจให้กับการสร้างบทเพลงด้วย Generative AI นั่นก็เป็นเพราะการใช้งานมีความสะดวกรวดเร็วและได้ผลลัพธ์โดนใจผู้ใช้งานซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีทักษะการเล่นดนตรี ไม่จำเป็นต้องมีองค์ความรู้ลึกซึ้งในทฤษฎีดนตรีหรือมีทักษะการแต่งเพลงเลยก็ได้
ทั้งนี้ การทำงานของ Generative AI ลักษณะเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้ทักษะการตีความบทเพลงเพื่อป้อนคำสั่งให้ Generative AI ช่วยสังเคราะห์ทำนองหรือดัดแปลงเสียงต่อยอดจากผลงานที่เคยปรากฏอยู่แล้ว อาจมีการนำผลงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมาดัดแปลงหรือรวบรวมเรียบเรียงให้เกิดเป็นผลงานสร้างสรรค์เพลงชิ้นใหม่
ลิขสิทธิ์เพลงจาก Generative AI
ก่อนที่เราจะวิเคราะห์เจาะลึกไปถึงลิขสิทธิ์เพลงจาก Generative AI เราต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบที่สำคัญของงานอันมีลิขสิทธิ์โดยทั่วไปก่อน อย่างแรกคือการสร้างสรรค์ผลงานด้วยทักษะความรู้ความชำนาญ (Skill) ความวิริยะอุตสาหะ (Labor) และวิจารณญาณ (Judgement) ตัวของผู้สร้างสรรค์เอง หรือที่เรียกว่า “Originality” รวมถึงองค์ประกอบของการแสดงออกทางความคิด (Expression of Idea) กล่าวคือผลงานนั้นมีลักษณะที่สามารถสื่อแสดงออกไปยังผู้อื่นได้ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแนวความคิด ทฤษฎี ข้อมูลความรู้ และต้องไม่เป็นการคัดลอกเลียนงานของผู้อื่นในส่วนที่เป็นสาระสำคัญของงาน
ในต่างประเทศมีแนวทางการรับจดทะเบียนลิขสิทธิที่น่าสนใจที่สามารถนำมาวิเคราะห์เทียบเคียงกับการใช้ Generative AI เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์เพลง อาทิ กรณีที่สำนักงานลิขสิทธิ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับจดทะเบียนลิขสิทธิ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง “Zarya of the Dawn” ของนาย Kris Kashtanova ซึ่งหนังสือดังกล่าวใช้ภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยใช้ Generative AI ที่ชื่อ “Midjourney” โดยที่นาย Kris Kashtanova เป็นผู้เขียนคำบรรยายภาพขึ้นเองทั้งหมด รวมถึงได้คัดเลือกและจัดลำดับภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยการใช้ Generative AI นั้น แล้วนำมาจัดลำดับประกอบรวบรวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นหนังสือนี้ ทำให้สำนักกฎหมายลิขสิทธิ์วินิจฉัยได้ว่าหนังสือดังกล่าวเป็นงานสร้างสรรค์ของนาย Kris Kashtanova ในฐานะที่เป็นผู้รวบรวมและเรียบเรียงส่วนที่เป็นสาระสำคัญของงาน (Substantial Edit)
จากแนวทางวินิจฉัยข้างต้น สามารถเทียบเคียงได้กับกรณีที่เราป้อนคำสั่ง (Prompt) ให้ Generative AI ช่วยผสมผสานเนื้อร้องเพลงขึ้นมาใหม่ โดยระบุรายละเอียดบรรยากาศเพลงที่ต้องการ รวมถึงแนวดนตรีที่ต้องการ เช่น บลูแจ๊ส ป๊อบ ร็อค เมื่อได้ผลลัพธ์ออกมาผู้ป้อนคำสั่งยังต้องนำมาปะติดปะต่อด้วยวิจารณญาณของตนเองจนกว่าจะได้บทเพลงขึ้นมาใหม่ ผู้ป้อนคำสั่งจึงควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่นั้น โดยมี AI เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการสร้างสรรค์เพลง
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลเรื่องการรักษาดุลยภาพแห่งความยุติธรรมในการคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์กับประโยชน์ของผู้ใช้งาน Generative AI เพราะ Generative AI ที่เราป้อนคำสั่งให้ช่วยสังเคราะห์เพลงขึ้นมานั้น อาจไม่ทราบขอบเขตทางกฎหมายในการดึงข้อมูลมาใช้งาน (Data Scraping) เนื่องจากการใช้ข้อมูลที่เปิดเผยสาธารณะบนโลกอินเทอร์เน็ตอาจเป็นข้อมูลของเพลงที่มีลิขสิทธิ์ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ได้ยินยอมให้เกิดการดัดแปลงบทเพลงของเขา อีกทั้ง Generative AI อาจสร้างเนื้อหาที่มีความคล้ายคลึงกับงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ถึงแม้ว่าตัวผู้ป้อน Prompt ให้ Generative AI จะไม่ได้มีเจตนากระทำละเมิดลิขสิทธิ์เลยก็ตาม ดังนั้น ประเด็นเรื่องการระบุตัวเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริงของผลงานที่สร้างขึ้นใหม่โดย Generative AI จึงยังเป็นประเด็นถกเถียงที่จำเป็นต้องอาศัยพยานหลักฐานและหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาประกอบกัน ในขณะที่ความโปร่งใสของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ที่มักไม่ได้มีการเปิดเผยแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการฝึกโมเดลให้แก่ Generative AI ก็เป็นอีกประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง โดยตามบทบัญญัติในกฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยนั้น ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาระบุว่า ภาพที่สร้างขึ้นจาก AI จะไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะไม่สามารถจดได้ เนื่องจากเป็นผลงานที่สร้างขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่จากมนุษย์แต่หากว่าผลงานดังกล่าวมีการสร้างร่วมกันกับมนุษย์ ก็จะต้องแจ้งให้ทราบในตอนยื่นขอจดแจ้งลิขสิทธิ์ด้วย ดังนั้น จึงสิ่งที่ผู้ใช้งาน Generative AI ควรทำเพื่อรักษาสิทธิของตนเองไว้คือการเก็บรวบรวมหลักฐานการป้อนคำสั่งต่าง ๆ ที่นำมาใช้รวบรวมเรียบเรียงเป็นผลงานใหม่ของตนเอง
การสร้าง AI บนพื้นฐานความยุติธรรม
สำหรับอีกคู่พิพาทหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งจะเป็นฝั่งเจ้าของ AI กับเจ้าของลิขสิทธิ์ โดยมีคดีตัวอย่างที่น่าสนใจของประเทศสหรัฐอเมริกาจากคำพิพากษาของศาล District Court เดลาแวร์ กล่าวคือ บริษัท Thomson Reuters Enterprise Centre GmbH ซึ่งเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม Westlaw ที่ให้บริการข้อมูลทางกฎหมาย เช่น คำพิพากษา กฎหมาย บทความทางกฎหมาย และเนื้อหาบรรณาธิการ เช่น headnotes (หมายถึงบทสรุปย่อของประเด็นทางกฎหมายที่ปรากฏในตอนต้นของคดี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้อ่านทราบถึงประเด็นสำคัญที่กล่าวถึงในคดีอย่างรวดเร็ว หัวข้อข่าวเหล่านี้เขียนโดยบรรณาธิการของ Westlaw และอาจมีเนื้อหาที่ถอดมาจากข้อความในคำพิพากษา) เป็นฝ่ายโจทก์ได้ยื่นฟ้องบริษัท ROSS Intelligence Inc. เป็นจำเลยในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ โดยที่ ROSS Intelligence เคยขออนุญาตใช้ข้อมูลของ Westlaw เพื่อพัฒนา AI มาก่อน ต่อมาถูก Thomson Reuters ปฏิเสธการให้ข้อมูลดังกล่าว ROSS Intelligence จึงเปลี่ยนไปใช้บริการของ LegalEase เพื่อให้สร้างชุดข้อมูลคำถามคำตอบทางกฎหมาย ซึ่งนักกฎหมายที่ทำงานให้กับ LegalEase ถูกสั่งให้ใช้ headnotes ของ Westlaw เป็นแนวทางในการสร้างชุดคำถามคำตอบนั้น และต่อมา LegalEase ได้ขายชุดคำถามคำตอบดังกล่าวให้แก่ ROSS Intelligence เพื่อนำไปใช้พัฒนา AI ซึ่งศาลได้พิพากษาว่าการกระทำของ ROSS Intelligence เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของ Thomson Reuters จากคดีดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการนำงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่นไปใช้ในการพัฒนา AI โดยไม่ได้ขออนุญาต หรือไม่มีความโปร่งใสในการนำไปใช้งาน กล่าวคือเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ทราบว่างานของตนถูกนำไปใช้ในปริมาณมากน้อยเพียงใด และเมื่อใด โดยที่เจ้าของลิขสิทธิ์เองก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการใช้งานนั้นด้วย ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อเจ้าของลิขสิทธิ์ เพราะเขาได้ใช้ความวิริยะอุตสาหะและวิจารณญาณของเขาในการริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา และหากเจ้าของลิขสิทธิ์ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเช่นในกรณีนี้ ก็อาจทำให้สูญเสียกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญาขึ้นมาใหม่ รวมถึงอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวสืบเนื่องไป
Social Media
Facebook : stkcsociety
Twitter : stkcsociety
Tiktok : stkcsociety
Youtube channel : STKC Society
ที่มาของข้อมูล
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
