การกร่อนของร่องน้ำและทางน้ำไหล

วันที่เผยแพร่: 
Mon 19 May 2025

ลักษณะสำคัญของการกัดเซาะและการเกิดตะกอนของคลื่น แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำมุมเข้าหาฝั่งในองศาต่างๆ น้อยมากๆ ที่คลื่นจะมาถึงฝั่งตรงๆ อย่างไรก็ดีคลื่นที่เคลื่อนตัวทำมุมต่างๆ นี้ เมื่อมาถึงบริเวณน้ำตื้นใกล้ฝั่งจริงๆ ก็จะหักโค้งตัวกลับมาสู่แนวขนานกับฝั่งทะเล การที่คลื่นโค้งตัวนี้เรียกว่า เกิดการหักเหของคลื่น (wave refraction) และด้วยประการนี้เองเป็นลักษณะสำคัญที่ทำให้คลื่นกัดเซาะฝั่ง และพาตะกอนมาสะสมที่ฝั่งได้

คลื่นหักโค้งตัวได้ก็เนื่องมาจากคลื่นบางส่วนที่อยู่ใกล้ฝั่งที่สุดจะไปถึงชายฝั่งก่อน และเริ่มช้าลง ในขณะที่บางส่วนที่ยังคงอยู่ในบริเวณที่ลึกกว่ายังคงมีความเร็วคลื่นปกติ ทำให้คลื่นที่ยังมีความเร็วมาก ดันส่วนที่อยู่ใกล้ฝั่งให้เข้าสู่ฝั่งเกือบเป็นเส้นตรงขนานกับฝั่ง โดยไม่จำเป็นว่าในช่วงแรกคลื่นจะเคลื่อนมาในแนวใด

เพราะการที่คลื่นมีการหักเหเช่นนี้ ทำให้บริเวณที่เป็นหัวแหลมที่ยื่นออกสู่ทะเลได้รับแรงจากคลื่นกัดเซาะอย่างเต็มที่ เพราะคลื่นปะทะเข้ามาทุกทิศทาง ด้วยเหตุนี้ ส่วนที่ไม่ยื่นแต่เป็นอ่าวเว้าเข้าไปในพื้นทวีป จึงมีการปะทะของคลื่นที่เบากว่า และที่นี้เองการสะสมตะกอนได้และทำให้เกิดหาดทราย เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ คลื่นที่ทำให้เกิดการกัดเซาะส่วนที่เป็นแหลม และการสะสมตะกอนส่วนที่เป็นอ่าวจะค่อยๆ ทำให้ทั้งแหลมและอ่าวกลายไปเป็นชายฝั่งที่เหยียดยาวแทน

 

Beach Drift and Longshore Currents การเลื่อนตัวของหาด (beach drift) และกระแสน้ำชายฝั่ง (longshore current) แม้ว่าคลื่นจะมีการหักเหดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ส่วนใหญ่คลื่นก็ยังเคลื่อนทำมุมน้อยๆ เข้าสู่ฝั่ง อันเป็นผลให้เกิดคลื่นน้ำหลังจากที่แตกฟองแล้วจะไหลเข้าหาฝั่งอย่างรวดเร็ว และก็ไหลกลับลงทะเลมาตามแนวลาดของหาด ผลของการเคลื่อนที่ของคลื่นรูปแบบนี้ทำให้เกิดการพัดพาทรายและอนุภาคตะกอนอื่นๆเป็นแบบคดเคี้ยวไปมา (zigzag) ตลอดแนวชายฝั่ง การเคลื่อนที่ของทรายตามแนวชายหาดนี้เรียกว่า การเลื่อนตัวของหาด (beach drift) ทรายอาจถูกพัดไปมาบนหาดด้วยระยะทางถึง 7 กม ในแต่ละวัน

 

 

    คลื่นที่ซัดเข้าหาชายหาดแม้ด้วยมุมที่น้อยก็ยังสามารถทำให้เกิดกระแสน้ำชายฝั่งได้ ในช่วงของคลื่นแตกฟอง (surf zone) กระแสน้ำนี้ไหลขนานไปกับชายฝั่ง จากการแปรปรวนของน้ำบริเวณนี้จึงเป็นเหตุให้กระแสน้ำชายฝั่ง(longshore current)นี้พัดพาเอาตะกอนทรายและสิ่งตกค้างอื่นๆถูกพัดพาเคลื่อนที่ไปตามพื้น เมื่อตะกอนที่เคลื่อนที่เพราะกระแสน้ำนี้ รวมเข้ากับตะกอนที่ถูกพัดเนื่องจากการเลื่อนตัวของหาด(beach drift) และตะกอนจะมีจำนวนมหาศาล ตัวอย่างเช่นที่ Oxnard ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา นั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ละปีจะมีตะกอนมากถึง 1.5 ล้านตันถูกพัดพาให้เคลื่อนตัวไป

 

 ถ้าสังเกตให้ดีเราจะพบว่าธรรมชาติของหาดทรายนั้นเป็นของไหล(fluid) ถ้าเราสังเกตุที่ชายหาดช่วงใดช่วงหนึ่ง จะพบว่าโอกาสของการเกิดทราย เนื่องจากการกัดกร่อนแตกหักของหินนั้น มีโอกาสน้อยกว่าการที่ทรายเกิดขึ้นจากการที่ถูกพัดพามาจากที่อื่น ในความเป็นจริงนั้น ตะกอนที่ทำให้เกิดหาดทรายส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการกัดกร่อนของหินดินทราย แต่ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากตะกอนทรายที่แม่น้ำพัดพาลงมาสู่มหาสมุทร ดังนั้นถ้าไม่มีการเกิดการเลื่อนตัวของหาด (beach drift) และการเกิดกระแสน้ำชายฝั่ง (longshore current) เป็นตัวพัดพาตะกอนทรายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว หาดบนโลกของเราส่วนใหญ่คงจะเป็นหาดที่ไม่มีทราย

 

ลักษณะของชายหาด

ลักษณะของชายหาดมีความแตกต่างกันออกไปเนื่องจากหลายปัจจัยเช่น ชนิดของหินบนฝั่ง กระแสน้ำ ความแรงของคลื่น และฝั่งมีความคตัวหรือกำลังจมหรือกำลังเงยขึ้น

คลื่นตัดหน้าผา เป็นผลมาจากคลื่นกัดกร่อนฐานของชายฝั่ง เมื่อคลื่นกระทบและกัดกร่อนฐานเรื่อยๆ ส่วนฐานของหน้าผานั้นก็จะพังหลุดออกมากับคลื่น และหน้าผานั้นก็จะค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างให้ลาดและเบนเข้าข้างใน กลายเป็นหน้าผาแบบ wave-cut platform ที่มีผิวค่อนข้างเรียบ และมองดูคล้ายม้านั่งหรือเคาท์เตอร์

ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วถึงแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลว่า จะถูกคลื่นซัดทุกทิศทุกทาง คลื่นจะทำลายหินส่วนที่อ่อนและมีรอยแตกร้าวก่อน หินส่วนอื่น ทำให้เกิดเป็นถ้ำใต้ทะเลเป็นอันดับแรก ถ้าหากคลื่นซัดให้เกิดถ้ำสองถ้ำตรงกันข้ามกันในที่สุด ทั้งสองถ้ำจะทะลุถึงกันกลายเป็น sea arch เมื่อ sea arch ถูกคลื่นซัดพังลงไปอีกจะเหลือส่วนที่เรียกว่า sea stack และในที่สุด sea stack นี้ก็จะต้องถูกกัดเซาะเพราะคลื่นต่อไปอีก

      ในบริเวณที่มีการเลื่อนตัวของหาด(beach drift) และเกิดกระแสน้ำชายฝั่ง(longshore current) กองของตะกอนจะมีลักษณะต่างๆกัน spit เป็นลักษณะของทรายกองทอดเป็นสันยาวจากแผ่นดินลงมาสู่ปากอ่าว(ดูภาพ) ถ้าหากเป็นบริเวณที่กระแสน้ำไม่แรง spit นี้อาจจะมีแนวยาวทอดไปปิดเวิ้งอ่าว แยกน้ำออกจากส่วนของทะเลเปิด

 

 

Content Provided by :
Vancouver School Board

Powered by :
NSTDA Online Learning Project

เผยแพร่ : ณาดาร์ หมื่นชล
กลุ่มพัฒนาระบบสารสนเทศ (พร.)
กองระบบและบริหารข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กรข.)
สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

Social Media
Facebook : stkcsociety
Twitter : stkcsociety
Tiktok : stkcsociety
Youtube channel : STKC Society

Hits 85 ครั้ง
หมวดหมู่ OECD: