เครื่องหมายวรรคตอน ในภาษาไทย

วันที่เผยแพร่: 
Thu 13 November 2025

 

 

ชื่อเครื่องหมายวรรคตอน

รูปเครื่องหมาย

มหัพภาค

.

จุลภาค

,

วงเล็บ  หรือ  นขลิขิต

( )

ยัติภังค์

-

อัญประกาศ

“ ”

ปรัศนี

?

อัศเจรีย์

!

ไม้ยมก หรือ ยมก

ไปยาลน้อย หรือ เปยยาลน้อย

ไปยาลใหญ่ หรือ เปยยาลใหญ่

ฯลฯ

ไข่ปลาหรือจุดไข่ปลา

...

สัญประกาศ

___

บุพสัญญา

ทับ

/

 

เครื่องหมายวรรคตอน คือ เครื่องหมายที่ใช้เขียนกำกับคำ  กลุ่มคำ  ประโยค หรือข้อความให้เด่นชัดเพื่อให้อ่านได้ถูกต้อง และช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายได้ชัดเจนขึ้น เช่น

1. มหัพภาค ( . )

มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้

  1. ใช้เพื่อแสดงว่าจบประโยคหรือจบความ 
    เช่น กรี น. กระดูกแหลมที่หัวกุ้ง
  2. ใช้เขียนไว้หลังตัวอักษร เพื่อแสดงว่าเป็นอักษรย่อ
    เช่น ม.ค. คำเต็มว่า มกราคม
  3. ใช้เขียนไว้ข้างหลังตัวอักษรหรือตัวเลขที่บอกลำดับข้อ 
    เช่น  1.   2.   ก.   ข.
  4. ใช้คั่นระหว่างชั่วโมงกับนาทีเพื่อบอกเวลา
    เช่น  9.30 น. อ่านว่า เก้านาฬิกาสามสิบนาที
  5. ใช้เป็นจุดทศนิยม แล้วจุดทศนิยมให้อ่านตัวเลขเรียงกันไป
    เช่น 2.345 อ่านว่า สองจุดสามสี่ห้า

ยกเว้นในกรณีเงินตรา ถ้าอ่านเป็นหน่วยเงินตราได้ ให้อ่านตามหน่วยเงินตรานั้น  เช่น  10.50 บาท อ่านว่า สิบบาทห้าสิบสตางค์

2. จุลภาค ( , )

มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้

  1. ใช้คั่นจำนวนเลขนับจากหลักหน่วยไปทีละ 3 หลัก
    เช่น 1,500 อ่านว่า หนึ่งพันห้าร้อย
  2. ใช้แยกวลีหรืออนุประโยคเพื่อกันความเข้าใจสับสน
    เช่น นายเทิดศักดิ์ที่นั่งคู่กับนางยุพดี, เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน
  3. ใช้คั่นคำในรายการที่เขียนต่อ ๆ กัน ตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป โดยเขียนคั่นแต่ละรายการ ส่วนหน้าคำ "และ" หรือ "หรือ" ที่อยู่หน้ารายการสุดท้ายไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องหมายจุลภาค
    เช่น พระรัตนตรัย คือ แก้ว 3 ประการ หมายถึง พระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์
  4. ใช้ในการเขียนบรรณานุกรม ดรรชนี และนามานุกรม
    เช่น คึกฤทธิ์ ปราโมช, ม.ร.ว.
  5. ใช้ในหนังสือประเภทพจนานุกรมเพื่อคั่นความหมายของคำที่มีความหมายหลาย ๆ อย่าง
    เช่น บรรเทา ก. ทุเลหรือทำให้ทุเลา, ผ่อนคลายหรือทำให้ผ่อนคลายลง
     

3. วงเล็บ หรือ นขลิขิต ()

มีหลักเกณท์การใช้ดังต่อไปนี้

  1. ใช้กันข้อความที่ขยายหรืออธิบายไว้เป็นพิเศษ เพื่อช่วยให้เข้าใจข้อความนั้นได้แจ่มแจ้งขึ้น
    เช่น มนุษย์ได้สร้างโลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) และโมหะ (ความหลงผิด)
  2. ใช้กันข้อความที่บอกที่มาของคำหรือข้อความ
    เช่น ชลี (กลอน) ก. อัญชลี, ไหว้
  3. ใช้กับหัวข้อที่เป็นตัวอักษรหรือตัวเลข ซึ่งอาจจะใช้เพียงเครื่องหมายวงเล็บปิดก็ได้
    เช่น    (ก) หรือ ก) (ข) หรือ 1)
  4. ใช้กับนามเต็มที่เขียนใต้ลายมือชื่อ 
    เช่น
        นายขยัน ทำงานดี
         
            (นายขยัน ทำงานดี)

       
        การอ่านออกเสียงข้อความที่มีเครื่องหมายวงเล็บ มีวิธีการอ่านหลายวิธี สุดแท้แต่กาละเทศะ โอกาสหรือจุดประสงค์ของการสื่อสาร
เช่น ถ้าจะอ่านเพื่อให้ผู้ฟังจดจำไว้ให้ถูกต้อง ถ้าเป็นข้อความสั้น ๆ ควรอ่านว่า "วงเล็บ" ตัวอย่าง พระยาศรีสุนทรโวหาร (ภู่) อ่านว่า พระยาศรีสุนทรโวหารวงเล็บภู่ หรือ พระยาศรีสุนทรโวหารภู่ ก็ได้ 
ถ้าข้อความนั้นยาวมาก ให้อ่านว่า "วงเล็บเปิด" แล้วอ่านข้อความในวงเล็บจนจบ แล้วอ่านว่า "วงเล็บปิด" หรืออาจเสริมข้อความว่า "ต่อไปนี้เป็นข้อความในวงเล็บ" เมื่ออ่านหมดข้อความก็อ่านว่า "หมดข้อความในวงเล็บ" ก็ได้

4. ยัติภังค์ ( - )

มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้

  1. ใช้เขียนไว้ที่สุดบรรทัดเพื่อต่อพยางค์หรือคำสมาส ซึ่งจำเป็นต้องเขียนแยกบรรทัดกัน เนื่องจากมาอยู่ตรงสุดบรรทัด และไม่มีที่พอจะบรรจุคำเต็มได้
    เช่น
      ตำแหน่งประ-

       ธานสภาผู้แทนราษฎร

  1. ใช้เขียนไว้ท้ายวรรคหน้าในบทร้อยกรอง เพื่อต่อพยางค์หรือคำสมาส ที่จำเป็นต้องเขียนคาบบรรทัดกัน เพื่อให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์
    เช่น
      คนเด็ดดับสูญสัง- ขารร่าง
  2. ใช้แยกพยางค์เพื่อบอกคำอ่าน โดยเขียนไว้ระหว่างพยางค์แต่ละพยางค์
    เช่น  เส
    -มา
  3. ใช้ในความหมายว่า "และ" หรือ "กับ"
    เช่น  เชิญชมการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษระหว่างทีม นครสวรรค์ - พิจิตร (กับ)

                ภาษาตระกูลไทย - จีน (และ)

  1. ใช้ในความหมายว่า "ถึง" เพื่อแสดงช่วงเวลา จำนวน สถานที่ (เวลาเขียนหรือพิมพ์ให้เว้นหน้าและหลังเครื่องหมาย - ประมาณ 1 ช่วงตัวอักษร)
    เช่น  เวลา 9.00 - 10.30 น. อ่านว่า เวลาเก้านาฬิกาถึงสิบนาฬิกาสามสิบนาที
  2. ใช้เขียนแสดงลำดับย่อยของรายการที่ไม่ต้องใส่ตัวอักษร
    เช่น  
    - พิธีเปิดงาน

               - รำอวยพร

5.อัญประกาศ ( “ ” )

มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้

  1. ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้น เป็นคำพูดหรือความนึกคิด
    เช่น  ครูพูดกับนักเรียนว่า
    “ขอให้ทุกคนตั้งใจจริง แล้วจะประสบความสำเร็จ”
  2. ใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือข้อความนั้นคัดมาจากที่อื่น
    เช่น  สุนทรภู่เขียนเตือนใจเรื่องความมีไมตรีต่อกันไว้ในเรื่องพระอภัยมณีตอนหนึ่งว่า
    "ปรารถนาสารพัดในปัถพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง"
  3. ใช้เพื่อเน้นคำหรือข้อความนั้นให้เด่นชัดขึ้น
    เช่น  คำว่า “ตะโก้” พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง “ชื่อขนมชนิดหนึ่งทำด้วยแป้งข้าวเจ้ากวนเข้ากับน้ำตาล ใส่แห้วหรือข้าวโพดเป็นต้นก็ได้ หยอดหน้าด้วยกะทิกวนกับแป้ง”

ในการอ่านออกเสียง เมื่อมีเครื่องหมายอัญประกาศเปิดให้อ่านว่า "อัญประกาศเปิด" และเมื่อถึงเครื่องหมายอัญประกาศปิดให้อ่านว่า "อัญประกาศปิด"

6. ปรัศนี ( ? )

มีหลักเกณท์การใช้ดังต่อไปนี้

  1. ใช้เมื่อสิ้นสุดประโยคที่เป็นคำถาม
    เช่น
      ทำไมเธอถึงมาโรงเรียนสาย?
  2. ใช้หลังข้อความเพื่อแสดงความสงสัยหรือไม่แน่ใจ มักเขียนอยู่ในวงเล็บ
    เช่น
      กฤษฎาธาร (กริดสะดาทาน) น. พระทีนั่งที่ทำขึ้นสำหรับเกียรติยศ (?)

7. อัศเจรีย์ ( ! )

มีหลักเกณท์การใช้ดังนี้

  1. ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยคที่เป็นคำอุทาน
    เช่น  อื้อฮือ! มากจังเลย
  2. ใช้เขียนหลังคำเลียนเสียงธรรมชาติ เพื่อให้ผู้อ่านทำเสียงได้เหมาะสมกับเหตุการณ์ในเรื่องนั้น ๆ
    เช่น  โครม !

8. ไม้ยมก หรือ ยมก ( ๆ )

มีหลักเกณท์การใช้ คือ ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้อ่านซ้ำคำ วลี หรือประโยค อีกครั้งหนึ่ง
เช่น   1. เด็กเล็ก ๆ อ่านว่า เด็กเล็กเล็ก

       2. แต่ละวัน ๆ อ่านว่า แต่ละวันแต่ละวัน

หมายเหตุ

1. คำที่เป็นคำซ้ำ ต้องใช้ไม้ยมก หรือยมก (ๆ) เสมอเช่น สีดำๆ เด็กตัวเล็ก ๆ

2. ห้ามใช้ไม้ยมก หรือยมก (ๆ) ในกรณีดังต่อไปนี้

    2.1 เมื่อเป็นคำคนละบท คนละความ เช่น  "ฉันจะไปปทุมวัน ๆ นี้" ผิด ต้องเขียนเป็น "ฉันจะไปปทุมวันวันนี้"

    2.2 เมื่อรู้คำเดิมเป็นคำ 2 พยางค์ ที่มีเสียงซ้ำกัน เช่น  นานา เช่น นานาชาติ นานาประการ

    2.3 เมื่อเป็นคำคนละชนิดกัน เช่น  คนคนนี้มีวินัย (คน คำแรกเป็นคำสามานยนาม คน คำหลังเป็นลักษณนาม)

    2.4 เมื่อเป็นคำประพันธ์ เช่น   หวั่นหวั่นจิตคิดคิดครวญครวญหา,  คอยคอยหายหลายหลายนัดผัดผัดมา

 

Social Media
Facebook : stkcsociety
Twitter : stkcsociety
Tiktok : stkcsociety
Youtube channel : STKC Society

 

เจ้าของข้อมูล
ทรูปลูกปัญญา

Hits 65 ครั้ง
หมวดหมู่ OECD: