ซ่อนตัวหรือวิ่งหนี? เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ลงกลางเมือง

วันที่เผยแพร่: 
Sun 15 April 2018

สงครามเย็นสิ้นสุดลงในปี 1991 แต่ภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ยังคงมีอยู่กว่า 14,900 นัดใน 9 ประเทศที่ครอบครอง ทั้งยังสถานการณ์สงครามที่ถูกรายงานให้เห็นตามหน้าสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธของประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ การกระทำเข้าข่ายการละเมิดสนธิสัญญาอาวุธในการอัพเกรดคลังแสงนิวเคลียร์ของรัสเซีย รวมไปถึงการพัฒนาขีปนาวุธระยะไกลและการฝึกซ้อมรบอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างก็เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจ
          ในขณะเดียวกันทุกคนต่างทราบดีอยู่แล้วว่า การก่อการร้ายด้วยอาวุธและระเบิดนิวเคลียร์นั้นเป็นภัยคุกคามที่รุนแรง และแม้ว่าเหตุการณ์การโต้ตอบของประเทศมหาอำนาจที่มีอาวุธร้ายแรงครอบครองทั้งหลาย จะไม่น่ากระตุ้นให้เกิดการใช้ตัวเลือกสุดท้ายอย่างระเบิดนิวเคลียร์ได้ก็ตาม แต่หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า หากเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากการโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์แล้วจะต้องปฏิบัติตัวตัวอย่างไร?

7476 1

ภาพที่ 1 เหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ 
ที่มา WikiImages/pixabay

  • ผู้ที่รอดชีวิตจากการระเบิดนิวเคลียร์อาจต้องสัมผัสกับขี้เถ้าปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีและฝุ่นกัมมันตรังสีหลังนิวเคลียร์ระเบิด (fallout)
  • การหาที่พักพิงที่ดีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และการเข้าพักอาศัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรอดชีวิตจากฝุ่นกัมมันตรังสี
  • นักวิทยาศาสตร์จึงได้คิดแผนการเกี่ยวกับวิธีการในการเคลื่อนย้ายไปยังที่หลบภัยที่เป็นเป็นผลดีและปลอดภัยที่สุด

หลีกเลี่ยงฝุ่นกัมมันตรังสี

          แม้ว่าคุณจะเป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ ถึงอย่างไรเสียก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดจากผลกระทบที่น่ากลัวอย่างขี้เถ้าปนเปื้อนกัมมันตรังสีหรือฝุ่นกัมมันตรังสีหลังการระเบิดของนิวเคลียร์ที่มีแรงระเบิดตั้งแต่ 0.1-10 กิโลตัน

          ฝุ่นกัมมันตรังสี (Nuclear fallout) เป็นสารกัมมันตรังสีที่ตกค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศหลังการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์  ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากการแยกตัวของนิวเคลียสของอะตอมอย่างรวดเร็วในปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน (Nuclear fission reaction) โดยจะปลดปล่อยพลังงานในรูปของรังสีแกมมาและรังสีอื่น ๆ รวมทั้งพลังงานความร้อนสูง และการได้รับรังสีปริมาณมากในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้เซลล์ภายในร่างกายและความสามารถในการซ่อมแซมตัวเองเสียหายได้ หรืออาจเรียกอาการดังกล่าวว่า "ความผิดปกติจากการได้รับรังสีสูงแบบเฉียบพลัน" (Acute Radiation Sickness, ARS) ซึ่งมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ของร่างกายด้วย

          ลูกไฟจากแรงระเบิดราว 10 กิโลตันที่มีความร้อนสูงจะพุ่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมง (หรือประมาณ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) โดยผลของแรงระเบิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชัน (Fission product) หลอมรวมทั้งสิ่งสกปรก และเศษขยะต่างๆ จะถูกดึงเข้าไปในชั้นบรรยากาศจากลูกไฟดังกล่าว สิ่งที่พยายามจะบอกก็คือ จะมีสิ่งสกปรกมากกว่า 8,000 ตัน ถูกวางอยู่ในก้อนเมฆ

         รังสีแกมมาสามารถพุ่งขึ้นไปได้มากกว่า 5 ไมล์ในอากาศ อนุภาคของชิ้นส่วนที่มีขนาดใหญ่จะตกลงมาบริเวณดังกล่าวได้ราวเม็ดฝน ส่วนอนุภาคที่มีขนาดเบากว่าจะตกลงสู่พื้นที่ซึ่งไกลออกไป

วิ่งหนีหรือซ่อนตัว?

สิ่งที่ควรทำมากที่สุดในการอยู่รอดหลังจากภัยพิบัติทางนิวเคลียร์คือ การเข้าไปหลบยังโครงสร้างที่แข็งแรงรวมทั้งสามารถป้องกันตัวเราจากภายนอกทันทีและอยู่ที่นั่น และหากสามารถเข้าไปยังส่วนล่างของโครงสร้างนั้นได้ให้เข้าไปยังส่วนของชั้นใต้ดิน เนื่องจากดินเป็นโล่ที่ดีที่สุดในการป้องกันอันตรายจากรังสี จากนั้นรอจนกว่าเจ้าหน้าที่กู้ชีพจะสามารถหาทางช่วยเหลือคุณได้ 

          สถานที่สำหรับเป็นที่หลบภัยควรเป็นอาคารที่สร้างจากอิฐหรือคอนกรีตที่มีหน้าต่างน้อย หรือไม่มีเลย บ้านเรือนหรือรถยนต์ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในลำดับต้นๆ เนื่องจากไม่ได้สร้างขึ้นด้วยวัสดุที่สามารถป้องกันรังสีได้ ทั้งยังไม่มีชั้นใต้ดิน ดังนั้นจึงควรเข้าไปหลบในอาคารของโรงเรียนหรือสำนักงานน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

7476 2

ภาพที่ 2 ระดับการป้องกันผลกระทบจากกัมมันภาพรังสีของระเบิดนิวเคลียร์ภายในอาคารหรือสถานที่ตั้งภายในอาคาร 
ที่มา Lawrence Livermore National Laboratory

          ซ่อนตัวอยู่ภายในอาคารราว 12-24 ชั่วโมง เหตุผลที่ต้องรอก็เพื่อให้ระดับรังสีแกมมาและรังสีชนิดอื่น ๆ ที่หลุดออกมาหลังจากการระเบิด ซึ่งเป็นไอโซโทปรังสี (Radioisotopes) ร้อน สลายตัวเป็นกลายเป็นอะตอมที่เสถียรเสียก่อน เป็นช่วยจำกัดโซนอันตรายให้แคบลง เนื่องด้วยพื้นที่ที่มีกระแสลมในระดับสูงมากจะช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากแรงระเบิดได้ จากนั้นพยายามฟังข่าวสารจากวิทยุเพื่อเตรียมตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ อย่างถูกต้องและปลอดภัย

7476 3

ภาพที่  3 พื้นที่อันตราย (สีม่วงเข้ม) จะแคบลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นาน ในขณะที่พื้นที่มีความร้อน (สีม่วงอ่อน) ซึ่งมีอันตรายน้อยกว่าจะขยายตัวมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

ที่มา  Lawrence Livermore National Laboratory

          สำนักจัดการภาวะฉุกเฉินส่วนกลาง (FEMA - Federal Emergency Management Agency) สหรัฐอเมริกา แนะนำรายการสิ่งของจำเป็นที่ควรมีไว้สำหรับตนเองในยามฉุกเฉิน

  1. น้ำ 1 แกลลอนต่อคนต่อวัน อย่างน้อย 3 วัน สำหรับการดื่มและการสุขาภิบาล
  2. อาหารอย่างน้อย 3 วัน ควรเป็นอาหารที่ไม่เสียหรือบูดง่าย
  3. วิทยุที่ใช้งานได้ด้วยแบตเตอรี่หรือวิทยุมือหมุน และวิทยุรายงานสภาพอากาศ NOAA พร้อมการแจ้งเตือนด้วยเสียง รวมทั้งแบตเตอรี่เสริม
  4. ไฟฉายและแบตเตอรี่เสริม
  5. ชุดปฐมพยาบาล
  6. นกหวีด สำหรับเป่าเพื่อขอความช่วยเหลือ
  7. หน้ากากป้องกันฝุ่นเพื่อช่วยกรองอากาศที่ปนเปื้อนและแผ่นพลาสติกและเทปพันท่อสำหรับใช้ในสถานที่หลบภัย
  8. ผ้าเช็ดตัวที่เปียกชื้น  ถุงขยะ  และถุงพลาสติกเพื่อการสุขาภิบาลส่วนบุคคล
  9. ประแจหรือคีมเพื่อปิดระบบสาธารณูปโภค
  10. เครื่องมือเปิดอาหาร (สำหรับอาหารกระป๋อง)
  11. แผนที่ท้องถิ่น
QR Code for https://www.stkc.go.th/stiarticle/%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87
เจ้าของข้อมูล: 
http://www.scimath.org/article-science/item/7476-2017-09-08-03-50-05
Hits 507 ครั้ง