ไฟป่า - ภัยพิบัติอันเลวร้าย
ไฟป่าซึ่งยังควบคุมไม่ได้กำลังลุกลามอย่างหนักในบางพื้นที่ของลอสแอนเจลิส พร้อมทิ้งร่องรอยความเสียหายรุนแรงไว้เบื้องหลัง
ณ ขณะนี้ ลอสแอนเจลิสกำลังเผชิญกับไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ไฟป่าครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง โดยพื้นที่อย่างน้อย 31,000 เอเคอร์ (ราว 125.45 ตารางกิโลเมตร) ถูกเผาทำลายไปแล้ว และประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพออกจากพื้นที่ ปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 24 ราย และอาคารบ้านเรือนหลายร้อยหลังถูกทำลาย แม้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้
ไฟป่าพาลิเซดส์ (Palisades fire) ซึ่งเป็นจุดแรกที่เกิดขึ้นและยังคงรุนแรงที่สุด ได้เผาทำลายพื้นที่ขนาดใหญ่ รวมถึงย่านแปซิฟิก พาลิเซดส์ (Pacific Palisades) ซึ่งเป็นย่านหรูและเป็นที่อยู่ของคนดังอย่าง เมล กิบสัน และปารีส ฮิลตัน ส่วนสาเหตุของไฟป่าในจุดนี้ รวมถึงไฟป่าอีก 3 จุดในภูมิภาค ยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวน ไฟป่าอีกจุดหนึ่งคือ เคนเนธไฟร์ (Kenneth fire) ได้ปะทุขึ้นใหม่ในเขตเวสต์ฮิลส์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยทางการได้ควบคุมตัวชายคนหนึ่งในข้อสงสัยว่าเขาอาจเป็นผู้ลอบวางเพลิง จนถึงขณะนี้มีพื้นที่ที่เกิดไฟป่าอย่างน้อย 7 แห่ง โดย 5 แห่งยังคงควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ประกอบด้วย
-
ไฟป่าพาลิเซดส์: มีรายงานว่าเกิดไฟไหม้ครั้งแรกเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันอังคาร โดยเพลิงได้เผาผลาญพื้นที่จากระยะเริ่มต้น 50 ไร่ เป็นกว่า 500 ไร่ ภายในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น ต่อมาในช่วงกลางคืนวันพุธ พื้นที่ที่ไฟป่าเผาผลาญไปเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 40,480 ไร่ ทำให้ต้องอพยพผู้คนออกมาอย่างน้อย 30,000 คน จากบ้านเรือน
-
ไฟป่าอีตัน: ใน 6 ชั่วโมงแรก ไฟป่าลุกลามครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,530 ไร่ โดยมีจุดเริ่มต้นที่อัลตาดีนา ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาในเมืองแพซาดีนา เมื่อเวลา 18.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น ในย่านนี้มีรายงานผู้เสียชีวิต 5 คน และตอนนี้ไฟป่าได้ลุกลามกินพื้นที่ไปมากกว่า 25,300 ไร่ มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วจากเหตุไฟป่าลุกลามหนัก 5 ราย
-
ไฟป่าเฮิร์สต์: กลุ่มเพลิงไฟอยู่ที่บริเวณด้านเหนือของเมืองซาน เฟอร์นันโด เกิดไฟป่าขึ้นในวันอังคารเวลา 22.10 น. ตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุว่า ไฟป่าลุกลามกินพื้นที่ราว 2,150 ไร่ จนทำให้มีคำสั่งอพยพประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงเมืองซานตา คลาริตา
-
ไฟป่าวูดลีย์: เริ่มปะทุขึ้นที่สวนสาธารณะวู้ดลีย์ เวลา 6.15 น. ตามเวลาท้องถิ่นในวันพุธ อย่างไรก็ตาม หน่วยดับเพลิงของนครลอสแอนเจลิสระบุว่า สามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว
-
ไฟป่าโอลิวาส: เกิดขึ้นในเขตเวนทูรา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของนครลอสแอนเจลิส กินอาณาเขตราว 27 ไร่ และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
-
ไฟป่าลิเดีย: เริ่มต้นขึ้นราว 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันพุธ บนพื้นที่ภูเขาแอคตัน ทางเหนือของนครลอสแอนเจลิส กินพื้นที่ไปแล้วเกือบ 885 ไร่ และสามารถควบคุมเพลิงได้แล้วราว 40%
-
ไฟป่าซันเซ็ต: เกิดขึ้นราว 18.00 น. ในพื้นที่ฮอลลีวูดฮิลล์ ย่านที่อยู่อาศัยที่สามารถมองเห็นย่านประวัติศาสตร์ของเมือง ไฟป่าลุกลามกินพื้นที่ไปแล้วราว 126 ไร่ ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ และมีคำสั่งให้อพยพแล้ว
เหตุใดไฟป่าจึงรุนแรงและลุกลามอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ?
1. พืชกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี
พืชพรรณเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับไฟป่า ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าฝนที่ตกหนักในปี 2024 ซึ่งเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่าในฤดูหนาวนี้ รอรี แฮดเดน นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์อัคคีภัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระ อธิบายว่า "ฝนที่ตกก่อนเกิดไฟป่าสามารถกระตุ้นการเติบโตของพืชพรรณอย่างมาก ซึ่งต่อมากลายเป็นเชื้อเพลิงได้ จากนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงอากาศแห้ง พืชพรรณเหล่านี้จะแห้งอย่างรวดเร็วและมีปริมาณมากขึ้น ทำให้มีเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น"
มาเรีย ลูเซีย เฟอร์เรรา บาร์โบซา นักวิทยาศาสตร์ด้านไฟป่าจากศูนย์นิเวศวิทยาและอุทกวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า สภาพอากาศที่เปียกชื้นในปี 2024 ตามด้วยช่วงอากาศแห้ง ได้สร้าง "เงื่อนไขที่สมบูรณ์แบบสำหรับการแพร่กระจายของไฟป่า" การเปลี่ยนแปลงจากสภาพอากาศที่เปียกชื้นอย่างมากไปสู่สภาพอากาศที่แห้งแล้งอย่างรวดเร็วเรียกว่า "ไฮโดรไคลเมต วิปแลช" (Hydroclimate Whiplash) งานวิจัยล่าสุดพบว่า ความเสี่ยงของการเกิดสภาพอากาศเช่นนี้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20
2. ลมที่ร้อนและแห้งราวกับไดร์เป่าผม
ลมซานตาอานา (Santa Ana) ที่ร้อนและแห้ง พัดมาจากเขตทะเลทรายของแคลิฟอร์เนีย และพาเอากลุ่มควันไฟออกสู่ทะเล ลมแรงช่วยพัดพาเปลวไฟจากเทือกเขาทางตะวันตกของลอสแอนเจลิสให้กลายเป็นไฟป่าที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยไฟได้ลามผ่านพืชพรรณแห้งและเผาผลาญย่านแปซิฟิกพาลิเซดส์ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับซานตา โมนิกา ลมเหล่านี้มักร้อนและแห้ง ทำให้ความชื้นในพืชพรรณลดลงไปอีก รอรี แฮดเดน กล่าวว่า "สำหรับไฟป่า ทุกครั้งต้องมีสามองค์ประกอบ ได้แก่ ต้นเหตุการจุดติดไฟ วัตถุที่ติดไฟได้ และออกซิเจนจากอากาศ" อย่างไรก็ตาม ความเร็วลมจากทะเลทรายแคลิฟอร์เนียทำให้ไฟป่าในครั้งนี้รุนแรงเป็นพิเศษ ลมเหล่านี้รู้จักกันในชื่อ "ซานตาอานา" (Santa Ana) หรือ "เฟิน" (Föhn) หรือ "ลมไดร์เป่าผม" (hairdryer winds) ลมประเภทนี้ทำให้พฤติกรรมของไฟป่าผันผวนและไม่แน่นอน แฮดเดน อธิบายเพิ่มเติมว่า "ลมเหล่านี้แห้งมากและพัดด้วยความเร็วสูง ดังนั้นเมื่อไฟปะทุขึ้น มันจึงสามารถลุกลามและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว" ในบางกรณี พายุลมแรงเหล่านี้สามารถทำให้เกิดไฟป่าได้ด้วยตัวเอง ผ่านการพัดสายไฟฟ้าให้ล้มลง ซึ่งทำให้เกิดประกายไฟและลุกลามไปยังพืชพรรณใกล้เคียง
3. สะเก็ดไฟ
สะเก็ดไฟหรือเศษวัสดุที่ติดไฟ ถูกกระแสลมแรงพัดพาไป และอาจกลายเป็นตัวช่วยให้ไฟลุกลามจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ แฮดเดนอธิบายว่า ลมเหล่านี้ไม่เพียงแค่กระพือไฟให้ลุกลามเท่านั้น แต่ยังพัดพาเศษเถ้าถ่านหรือ "สะเก็ดไฟ" ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือนในเหตุการณ์ไฟป่ามาด้วย ตามคำอธิบายของแฮดเดน "สิ่งต่าง ๆ เช่น ถนนหรืออาคาร อาจขวางทางเปลวไฟไว้ได้... แต่ไม่มีอะไรหยุดยั้งสะเก็ดไฟเหล่านี้ได้ และพวกมันเคลื่อนที่ไปได้ไกลมาก" ลมสามารถพัดพาสะเก็ดไฟจากต้นไม้ที่กำลังลุกไหม้และพามันปลิวไปข้างหน้าได้ พวกมันอาจร่วงลงห่างจากจุดต้นกำเนิดเพียงไม่กี่เมตรและจุดไฟกองใหม่ขึ้น หรืออาจปลิวไปไกลเป็นระยะทางหลายไมล์ ทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นอีกจุดที่ห่างไกลออกไป "มีรายงานว่าสะเก็ดไฟเหล่านี้สามารถปลิวไปได้ไกลเป็นสิบกิโลเมตร พวกมันอาจตกลงในร่องแตกรอบบ้าน หรือบนต้นไม้ประดับตามบ้านคน และทำให้บ้านเกิดไฟไหม้ขึ้นได้" แฮดเดนกล่าว หากสะเก็ดไฟปลิวไปติดที่บ้านเพียงหลังเดียวแล้วเกิดไฟไหม้ขึ้น ทีมดับเพลิงอาจสามารถควบคุมเพลิงได้ "แต่ปัญหาคือ สะเก็ดไฟมักทำให้บ้านหลายสิบหลังลุกไหม้พร้อมกัน และสะเก็ดไฟก็จะเยอะขึ้นจากบ้านแต่ละหลัง ทำให้เกิดปรากฏการณ์โดมิโน" แฮดเดนกล่าว "ลมจะพัดพาสะเก็ดไฟเหล่านี้ให้ปลิวไปเรื่อย ๆ" นอกจากความเสียหายต่อทรัพย์สินแล้ว สะเก็ดไฟยังเป็นอันตรายอย่างมากต่อผู้คนที่อยู่ในเส้นทางของไฟป่า
4. เนินเขาและหุบเขา
ภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาในพื้นที่ลอสแอนเจลิสทำให้ไฟป่ารุนแรงขึ้น ภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นเนินเขาในพื้นที่ยังเพิ่มความเสี่ยงจากไฟป่าอีกด้วย "ไฟจะลุกลามขึ้นเนินรวดเร็วมาก" รอรี แฮดเดน กล่าว "ลักษณะทางภูมิศาสตร์อย่างหุบเขาและร่องเขาสามารถทำให้ไฟมีพฤติกรรมรุนแรงจนยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมได้" ภูมิประเทศเช่นนี้ไม่เพียงเพิ่มความเสี่ยงในการลุกลามของไฟ แต่ยังทำให้การอพยพยากขึ้นอีกด้วย ในพื้นที่พาลิเซดส์ ถนนบนเนินเขาที่แคบยิ่งเพิ่มความท้าทายสำหรับผู้ที่พยายามอพยพออกจากพื้นที่ ไมก์ โบนิน อดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครลอสแอนเจลิส กล่าวกับนิวยอร์กไทมส์
5. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ฝนตกหนักในปี 2024 ที่เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์เอลนีโญ ถูกมองว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ไฟป่าครั้งนี้รุนแรงขึ้นผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไฟป่าในลักษณะนี้ "มันไม่ใช่แค่เรื่องอากาศที่ร้อนขึ้นและแห้งแล้งขึ้นเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการเผชิญกับสภาพอากาศสุดขั้ว ทั้งเปียกชื้น ลมแรง ร้อน และแห้งในเวลาเดียวกัน" แฮดเดนกล่าว งานวิจัยของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เพิ่มความเสี่ยงและความรุนแรงของไฟป่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้น ภาวะแห้งแล้งที่ยาวนาน และบรรยากาศที่ดูดความชื้นมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงและขอบเขตของไฟป่าในพื้นที่ตะวันตกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น" สำนักงานบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ (National Oceanic and Atmospheric Administration) ระบุ หลังจากฤดูร้อนที่อบอุ่นอย่างมากและฝนที่ตกน้อยในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รัฐแคลิฟอร์เนียก็ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงเป็นพิเศษ
โดยทั่วไป ฤดูไฟป่าในแคลิฟอร์เนียตอนใต้มักกินเวลาตั้งแต่เดือน พ.ค. ถึง ต.ค. แต่ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เกวิน นิวซัม ชี้ให้เห็นว่าไฟป่าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ช่วงเวลาเหล่านั้นอีกต่อไป "ตอนนี้ไม่มีฤดูไฟป่าแล้ว" เขากล่าว "แต่มันกลายเป็นเรื่องของไฟป่าทั้งปี"
เผยแพร่ : ณาดาร์ หมื่นชล
(เจ้าหน้าที่พัฒนาและบริหารจัดการสารสนเทศ)
สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กองระบบและบริหารข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กรข.)
กลุ่มพัฒนาระบบสารสนเทศ (พร.)
Social Media
Facebook : stkcsociety
Twitter : stkcsociety
Tiktok : stkcsociety
Youtube channel : STKC Society
แหล่งที่มา