วันพิซซ่า

วันที่: 
09 February

วันพิซซ่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ในเมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ต้นกำเนิดของพิซซ่าที่ทั่วโลกรู้จักกันดี
ซึ่งถ้านับเฉพาะในอิตาลีจะพบว่าแต่ละวันมีการบริโภคพิซซ่าสูงถึง 7 ล้านชิ้น มีร้านพิซซ่าอยู่ทั่วประเทศถึง 35,000 แห่ง
สร้างงานให้ชาวอิตาลีมากกว่า 2.5 ล้านคน แต่แฟนพิซซ่าตัวจริงของโลกอยู่ที่อเมริกาเหนือ ที่ประชากรบริโภคพิซซ่ากันเฉลี่ยปีละ 13 กิโลกรัมต่อคน
มากกว่าชาวอิตาเลียนที่บริโภคเฉลี่ยปีละ 7.6 กิโลกรัมต่อคน นอกจากนี้พิซซ่าในเนเปิลส์ยังได้รับการบรรจุให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโกอีกด้วย

ประวัติของพิซซ่าเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 79 เมื่อภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดขึ้นและทลายเมืองปอมเปอีทั้งเมือง หลังจากนั้นประมาณ ค.ศ. 640 แกตาโน ฟิโอเรลลี่ ได้ค้นพบเตาฟืนโบราณจำนวนมากมายในซากปรักหักพังของเมือง ที่ถูกลาวาถล่ม หนึ่งในจำนวนเตาทั้งหมดนั้นพบว่ามีเถ้าถ่านขนมปังติดอยู่ในเตาอยู่ถึง 7 กิโลกรัม ซึ่งเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าทหารโรมันในช่วงเวลาดังกล่าว (ก่อนเมืองปอมเปอีจะถูกถล่มด้วยลาวาและเถ้าภูเขาไฟ) ต่างกินขนมปังที่อบด้วยเตาฟืนโบราณนี้ ซึ่งสันนิษฐาน ได้ว่าชาวเมือง ในเมืองนาโปลีก็ทานขนมปังที่อบในเตาฟืนโบราณเช่นนี้มาประมาณ 700 ปีแล้ว ต่อมาในต้น ค.ศ. 1700 ชาวเมืองนาโปลีจึงได้เริ่มประยุกต์ใส่มะเขือเทศกับสมุนไพรบางอย่างลงในขนมปังแล้วนำไปอบในเตาฟืนโบราณ นี่เองคือจุดเริ่มต้นของมารีนาราพิซซ่า และร้านพิซเซอเรียร้านแรกในนาโปลี ได้เปิดขายในปี ค.ศ. 1830

โดยร้านดังกล่าวใช้วิธีการอบพิซซ่าในเตาที่ทำจากหินภูเขาไฟ อีกประมาณร้อยปีต่อมา (นับจาก ค.ศ. 1700) และชีสเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในอาหาร แต่ชีสดังกล่าวไม่ใช่ชีสปกติธรรมดาทั่วไป เป็นชีสที่ทำจากน้ำนมควายพื้นเมืองที่ชื่อ ฟิออเร่ ดี บัฟฟาล่า ประมาณปี ค.ศ. 1850 จึงเกิดพิซซ่ามาเกอริต้าขึ้นโดย ราฟาเอล เอสโปสิโต แห่งเมืองเนเปิล ซึ่งได้ทำพิซซ่าถวายเมื่อคราวที่สมเด็จพระราชาธิบดีอุมแบร์โตที่ 1 และสมเด็จพระราชินีมาเกอริต้าได้เสด็จเยือนเมืองเนเปิล โดยใช้สีบนหน้าพิซซ่าแทนสัญลักษณ์ของธงชาติอิตาลี โดยใช้ใบเบซิลแทนสีเขียวใช้มอสซาเรลล่าชีสแทนสีขาวและมะเขือเทศแทนสีแดง และตั้งชื่อพิซซ่าเพื่อเป็นเกียรติแด่พระราชินีว่า มาเกอริต้า ซึ่งพระนางก็ได้ทรงพระอนุญาตให้ใช้ชื่อพระนางเป็นชื่อของพิซซ่าเมื่อปี ค.ศ. 1889 ซึ่งพิซซ่าดังกล่าวได้กลายเป็นมาตรฐาน ของพิซซ่าในปัจจุบัน ซึ่งพิซซ่าในปัจุบันโดยทั่วไปต่างก็ดัดแปลงหน้ามาจากพิซซ่า 2 ชนิดนี้ ซึ่งเป็นพิซซ่าดั้งเดิมของชาวนาโปลี คือมารีนาราพิซซ่าและมาเกอริต้าพิซซ่า

ตำนาน

กาลครั้งหนึ่งในสมัยกรุงโรมโน้น ได้มีผู้ค้นพบหลักฐานบันทึกว่า .. "มีแป้งแผ่นกลมๆบางๆปรุงด้วยน้ำมะกอก สมุนไพร น้ำผึ้ง วางบนหินร้อน สักพักก็สุก" สมัยนั้นเรียกกันว่า Placenta กาลต่อมาในปีค.ศ.79 นักโบราณคดีพบว่ามีร้านขายพิซซ่าอยู่ที่เมืองปอมเปอี ที่เคยถูกภูเขาไฟระเบิดพ่นลาวาทับทั้งเมือง เวลาผ่านไป(เมื่อประมาณ 200 ปีที่ผ่านมานี้) เมืองนาโปลี ได้กลายเป็นต้นกำเนิดของพิซซ่าสมัยใหม่ โดยมีร้านพิซซ่าแห่งแรกชื่อพอร์ต อัลบ้า (Port’ Alba) และก็มีอีกหลายๆร้านเปิดตามมา พิซซ่าชาวนาโปลีจะอบในเตาที่ก่อด้วยหิน จากภูเขาไฟเวซุเวียส เนื่องจากกระจายความร้อนได้สม่ำเสมอ และใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง ต่อมามีคนทำพิซซ่ามือเยี่ยมคนหนึ่งนาย ดอน ราฟาเอล เอสโพสิโต เป็นคนแรกที่ใช้มอซซาเรลล่าชีส หรือชีสนมควาย เป็นเครื่องปรุง ชาวเมืองนิยมชมชอบมากจนกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของพิซซ่านาโปลี และแพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน เอกลักษณ์สำคัญของพิซซ่านาโปลี ต้องอบในเตาที่อุณหภูมิ 340 องศาเซลเซียส ต้องใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง ต้องมีชีสมอซซาเรลล่า ผงเครื่องเทศออริกาโน (Origano) ปลาเค็มเอนโชวี (Anchovi)* มะเขือเทศ เบซิล (Basil) และกระเทียม พอช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คนอเมริกันก็หัดทำพิซซ่ากินกันบ้าง จนได้สูตรแบบอเมริกัน และแพร่หลายไปทั่วโลก ครั้นปีค.ศ. 1960 เกิดเกิดสงครามเวียดนามทหารอเมริกันเข้ามาตั้งฐานทัพในเมืองไทย ได้นำเอาวัฒนธรรมการกินพิซซ่าเข้ามาด้วยแต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก สมัยนั้นต้องไปกินกันตามโรงแรม และห้องอาหารอิตาเลียนเท่านั้น แต่เมื่อประมาณ พ.ศ. 2513 ร้านพิซซ่าฮัท มาเปิดสาขาแรก เด็กไทย คนรุ่นใหม่ก็แห่กินกันทั้งบ้านทั้งเมือง ทุกวันนี้การกินพิซซ่าไม่ได้ยากลำบากอีกแล้ว เพียงโทรศัพท์กริ๊งเดียวภายใน 15 นาทีก็มาส่งถึงบ้านแล้ว

ประโยชน์ของพิซซ่า
เมื่อนักวิจัยชาวอิตาลีชี้ว่า การรับประทานพิซซ่าเป็นประจำสามารถป้องกันมะเร็งชนิดต่าง ๆ ได้
ดร.ซิลวาโน กัลลัส และคณะวิจัยจากสถาบันวิจัยเภสัชกรรมมาริโอ เนกรี ในมิลาน ประเทศอิตาลี อ้างว่า การรับประทานพิซซ่าเป็นประจำ
สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งในหลอดอาหาร ลงได้ 59 เปอร์เซ็นต์ ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งในลำไส้ได้ 26 เปอร์เซ็นต์
และลดความเสี่ยงมะเร็งในปากได้ 34 เปอร์เซ็นต์คณะวิจัยเชื่อว่าส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้พิซซ่าป้องกันมะเร็งได้ก็คือไล โค ฟิน
ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ผักและผลไม้มีสีส้มหรือแดง ทั้งยังเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งพบมากในมะเขือเทศและช่วยป้องกันมะเร็ง ในเวลาเดียวกัน

ทั้งนี้ คณะวิจัยได้สัมภาษณ์ผู้ป่วย 3,300 คนที่เริ่มมีอาการมะเร็งในปาก มะเร็งในหลอดอาหาร มะเร็งในลำคอ หรือมะเร็งในลำไส้ เกี่ยวกับการรับประทานอาหารในแต่ละวัน
และความถี่ในการรับประทานพิซซ่า โดยในขณะเดียวกันก็สัมภาษณ์ผู้ที่ไม่มีอาการของมะเร็ง 5,000 คนด้วย และพบว่า ผู้ที่รับประทานพิซซ่าอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
จะมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยกว่า ผู้ที่ไม่รับประทานเลย

ดร. กัลลัส ผู้นำการวิจัย กล่าวว่า คณะวิจัยของเขาทราบดีว่าซอสมะเขือเทศสามารถป้องกันการเกิดเนื้อร้ายได้ และถึงแม้ผลการศึกษาของเราจะชี้ว่า
การรับประทานพิซซ่าเป็นประจำสามารถ ป้องกันมะเร็งได้ แต่เราก็ไม่ได้ระบุหรือคาดหวังให้ทุกคนบริโภคแต่พิซซ่า เพราะอาหารอย่างอื่นก็สามารถป้องกันมะเร็งได้เช่นกัน
นอกจากนี้ คาร์โล ลา เวชชีอา ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดในมิลาน ก็กล่าวว่า ผู้ที่ชอบบริโภคพิซซ่าไม่ควรรีบตื่นเต้นดีใจไปกับผลการศึกษา และหันมารับประทานแต่พิซซ่า
เนื่องจากในตอนนี้ยังไม่มีสิ่งใดที่จะยืนยันว่า ผลการศึกษานี้เป็นจริง และอันที่จริงแล้วอาหารที่ชาวอิตาลีรับประทานส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่มี ประโยชน์ เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก
ผักและผลไม้ต่าง ๆ และยังเป็นอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ ไม่ใช่อาหารแช่แข็ง หรืออาหารขยะ ยิ่งไปกว่านั้น พิซซ่าของชาวอิตาลีก็เป็นพิซซ่าที่ทำกันในครัวเรือน
ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์กว่าพิซซ่าตามร้านอาหารฟาสต์ฟูดต่าง ๆ เวชชีอา กล่าว

แหล่งที่มา http://www.vcharkarn.com/vcafe/5610

หมวดหมู่: